1.1.1 แบบจำลองอะตอม ( Atomic model ) คือ มโนภาพที่นักวิทยาศาสตร์สร้างขึ้นจากข้อมูลที่ได้จากการทดลอง เพื่อใช้อธิบายลักษณะของอะตอมหรือรายละเอียดของโครงสร้างอะตอม
Ø แบบจำลองอะตอมของดอลตัน
จอห์น ดอลตัน นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
เป็นนักเคมีคนแรกที่เสนอแนวคิดที่เกี่ยวกับอะตอม มีสาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
1.สารประกอบด้วยอนุภาคขนาดเล็กเรียกว่า อะตอม
แบ่งแยกไม่ได้ จะสร้างขึ้นใหม่ หรือทำลายให้สูญหายไปไม่ได้
2.อะตอมของธาตุชนิดเดียวกันย่อมมีสมบัติเหมือนกันมีมวลเท่ากัน
แต่จะแตกต่างจากอะตอมของธาตุอื่นๆ
3.สารประกอบเกิดจากการรวมตัวของอะตอมของธาตุ ตั้งแต่
2 ชนิดขึ้นไปทำปฎิกิริยากัน ในอัตราที่เป็นเลขลงตัวน้อยๆ
ดังนั้น
จอห์น ดอลตัน จึงเสนอแบบจำลองอะตอมดังนี้
“ อะตอมมีลักษณะเป็นทรงกลม มีขนาดเล็กมากและไม่สามารถแบ่งแยกได้อีก ”
แบบจำลองอะตอมของจอห์น ดอลตัน
Ø แบบจำลองอะตอมของทอมสัน
ได้จากผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายคนที่สนใจการทดลองหลอดรังสีแคโทด
ซึ่งมีการทดลองและค้นพบดั้งนี้
|
ในปี
ค.ศ. 1897 เซอร์ โจเซพ จอห์น ทอมสัน
นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้ทำการทดลองเกี่ยวกับการนำไฟฟ้าของแก๊สในหลอดรังสีแคโทด
ดังรูป
รูป 1.1 หลอดรังสีแคโทด
ทำการทดลองโดยสูบอากาศออกจากหลอดแก้วเพื่อลดความดัน
จนเกือบเป็นสุญญากาศและเพิ่มศักย์ไฟฟ้าให้สูงขึ้นถึง 10,000
โวลต์ ก๊าซจะนำไฟฟ้าได้ ผลการทดลองปรากฏว่าฉากเรืองแสงได้
แสดงว่ามีอนุภาคอยู่ในอะตอม
ต่อมาได้มีการดัดแปลงหลอดรังสีแคโทดใหม่
เพื่อให้รังสีมีลักษณะเรียวเล็ก โดยการพุ่งผ่านรูกลมที่เจาะด้านแอโนด ดังรูป
รูป 1.2 หลอดรังสีแคโทดที่ดัดแปลงแล้ว
เมื่อผ่านกระแสไฟฟ้าเข้าไปในหลอดแก้วที่บรรจุแก๊สภายใต้ความดันต่ำเกือบเป็นสุญญากาศและความต่างศักย์สูง
จะเกิดการเรืองแสงขึ้น ลำแสงนี้จะผ่านจากขั้วแคโทดไปที่แอโนด
ไปเรืองแสงบนฉากที่วางอยู่
ต่อมาทอมสันได้ดัดแปลงอุปกรณ์เพิ่มเติมโดยการเพิ่มขั้วไฟฟ้าเข้าไปอีก
2 ขั้ว เพื่อให้เกิดสนามไฟฟ้า ดังรูป
รูป 1.3 หลอดรังสีแคโทดที่มีขั้วไฟฟ้าในหลอดเพิ่มอีก
2 ขั้ว
จากผลการทดลองพบว่า
ลำแสงแบนออกจากขั้วลบเข้าหาขั้วบวกของสนามไฟฟ้า
และจะเห็นจุดเรืองแสงเบี่ยงแบนออกจากแนวเดิม
ทอมสันจึงได้เสนอข้อสรุปจากผลการทดลองว่า
“อะตอมทุกชนิดมีอนุภาคที่มีประจุลบเป็นองค์ประกอบ
และเรียกอนุภาคชนิดนี้ว่า อิเล็กตรอน”
|
ออยเกน โกลด์ชไตน์ ได้ดัดแปลงหลอดรังสีแคโทดใหม่ ดังรูป
รูป 1.4 หลอดรังสีแคโทดกับอนุภาคบวก
ผลการทดลองพบว่า
ลำแสงเบี่ยงเบนออกจากขั้วบวกและวิ่งเข้าหาขั้วลบ ถ้าทดลองใช้แก๊สไฮโดรเจน
จะได้อนุภาคบวกที่มีประจุเท่ากับอิเล็กตรอนพอดี เรียกอนุภาคบวกที่เกิดจากแก๊สไฮโดรเจนนี้ว่า
“ โปรตอน ”
จากผลการทดลองทั้งหมดทอมสันจึงเสนอแบบจำลองอะตอม
ดังนี้
|
แบบจำลองอะตอมของ เจ เจ ทอมสัน
Ø แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
การเสนอแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด มาจากผลการทดลองดังนี้
รัทเทอร์ฟอร์ด ได้ทำการทดลอง โดยการยิงรังสีแอลฟาซึ่งมีประจุบวกไปยังแผ่นทองคำบางๆ
โดยให้ฉากเรืองแสงโค้งเป็นวงรอบแผ่นโลหะทองคำดังรูป
รูป 1.5 การทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ด
จากการทดลอง รัทเทอร์ฟอร์ดสรุปได้ว่า
1.
อนุภาคส่วนใหญ่จะวิ่งเป็นเส้นตรงทะลุผ่านแผ่นทองคำไปกระทบฉากที่อยู่ด้านหลัง
แสดงว่าอะตอมจะต้องมีช่องว่างมาก
2.
อนุภาคส่วนน้อยจะเบี่ยงแบนไปจากแนวเส้นตรง
เพราะว่ามีอนุภาคแอลฟาเคลื่อนที่เข้าไปใกล้หรือเฉียดกลุ่มประจุบวกทำให้เกิดการผลักกันจึงทำให้อนุภาคแอลฟาเบนไปจากเส้นตรง
3.
อนุภาคส่วนน้อยจะสะท้อนกลับมากระทบฉากบริเวณด้านหน้าแผ่นทองคำ
ในทิศทางเดิม แสดงว่าอนุภาคแอลฟา จะต้องไปกระทบกับประจุบวกหรือกลุ่มประจุบวก
จากผลการทดลองรัทเทอร์ฟอร์ดจึงเสนอแบบจำลองอะตอม ดังนี้
“อะตอมประกอบด้วยนิวเคลียสที่มีโปรตอนรวมกันอยู่ตรงกลาง นิวเคลียสมีขนาดเล็กแต่มีมวลมากและมีประจุบวก
ส่วนอิเล็กตรอน ซึ่งมีประจุลบจะวิ่งอยู่รอบๆนิวเคลียสเป็นบริเวณกว้าง"
แบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ด
แบบฝึกหัด
1. ถ้าแบบจำลองของดาลตันถูก ผลการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ดควรเป็นอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ถ้าแบบจำลองของทอมสันถูก ผลการทดลองของรัทเทอร์ฟอร์ดควรเป็นอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
|
สาเหตุที่ค้นพบนิวตรอน
1. เนื่องจากมวลของอะตอมต่างๆ มักจะเป็น
2 เท่า หรือมากกว่า
2 เท่า ของมวลโปรตอนรวม รัทเทอร์ฟอร์ด
จึงสันนิษฐานว่า
น่าจะมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียส
และอนุภาคนี้ต้องมีมวลใกล้เคียงกับมวลของโปรตอนมากและต้องเป็นกลางทางไฟฟ้า
2. ทอมสันศึกษาหามวลอนุภาคบวกของ Na ปรากฏว่า อนุภาคบวกนี้มีมวล 2
ค่า ผลการทดลองดังนี้ สนับสนุนว่าจะต้องมีอนุภาคอีกชนิดหนึ่งอยู่ในนิวเคลียส
3. เซอร์เจมส์ แซดวิก นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ
ได้ทำการทดลองยิงอนุภาคแอลฟา ไปยังอะตอมของธาตุ Be ปรากฏว่าได้อนุภาคชนิดหนึ่งออกมา
ซึ่งมีมวลใกล้เคียงกับมวลของโปรตรอนและไม่มีประจุไฟฟ้า เรียกอนุภาคนี้ว่า “ นิวตรอน ”
Ø แบบจำลองอะตอมของโบร์
เนื่องจากแบบจำลองอะตอมของรัทเทอร์ฟอร์ดไม่ได้อธิบายว่าอิเล็กตรอนเคลื่อนที่รอบนิวเคลียสในลักษณะใด
นักวิทยาศาสตร์จึงได้พยายามทดลองหา โดยการศึกษาสเปกตรัมของธาตุและสารประกอบ ดังนี้
สเปกตรัมของธาตุ (Spectrum)
เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีความถี่และความยาวคลื่นต่างๆกัน
ความยาวคลื่น
คือ ระยะทางที่คลื่นเคลื่อนที่ครบ 1 รอบ ใช้สัญลักษณ์ l
อ่านว่า แลมบ์ดา
ความถี่ของคลื่น
คือ จำนวนรอบของคลื่นที่เคลื่อนที่ผ่านจุดหนึ่งในเวลา 1 วินาที ใช้สัญลักษณ์ u อ่านว่า นิว
สเปกตรัมของแสงขาว
คือ แสงสีต่างๆ ที่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง เมื่อผ่านแสงขาว (แสงจากดวงอาทิตย์) ไปยังปริซึมเนื่องจากแสงขาวเดินทางผ่านตัวกลางจะเกิดการหักเหของแสง
ตาราง 1.1
แสดงแสงสีต่างๆ ในแถบสเปกตรัมของแสงขาว
สี
|
ความยาวคลื่น (nm)
|
ม่วง
|
400-420
|
น้ำเงิน
|
420-490
|
เขียว
|
490-580
|
เหลือง
|
580-590
|
ส้ม
|
590-650
|
แดง
|
650-700
|
มักซ์ พลังค์ ได้ศึกษาพลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและสรุปว่า “พลังงานของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจะเป็นสัดส่วนโดยตรงกับความถี่ของคลื่นนั้น”
เขียนความสัมพันธ์ได้ ดังนี้
E = hu
u = C
l
\ E =
h C
l
เมื่อ E คือ
พลังงานมีหน่วยเป็นจูล
h คือ ค่าคงที่ของแพลงค์ มีค่าเท่ากับ 6.625 x 10-34 จูลวินาที (Js)
C คือ
ความเร็วของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ในสูญญากาศมีค่าเท่ากับ 3 x 108 เมตรต่อวินาที (ms-1)
u คือ ความถี่ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีหน่วยเป็นเฮิร์ตซ์ (Hz) หรือรอบต่อวินาที (s-1)
l
คือ
ความยาวคลื่นมีหน่วยเป็นเมตร (m) หรือ นาโนเมตร (nm) โดย
1 nm = 10-9 m
การเกิดเส้นสเปกตรัมของธาตุ
สถานะพื้น (ground state) หมายถึงอะตอมที่อิเล็กตรอนซึ่งเคลื่อนที่อยู่รอบนิวเคลียสมีพลังงานเฉพาะตัวอยู่ในระดับพลังงานต่ำ อะตอมในสถานะพื้นจะมีความเสถียรเนื่องจากมีพลังงานต่ำ
สถานะกระตุ้น (excited state)หมายถึงอะตอมที่ได้รับพลังงานเพิ่มขึ้น
ทำให้อิเล็กตรอนถูกกระตุ้นให้อยู่ในระดับพลังงานสูงขึ้น ที่สถานะกระตุ้นอะตอมจะไม่เสถียร เนื่องจากมีพลังงานสูง
อะตอมที่ได้รับพลังงาน เช่น
จากการเผา หรือจากกระแสไฟฟ้า อิเล็กตรอนจะเปลี่ยนจากสถานะพื้นไปสู่สถานะกระตุ้นซึ่งไม่เสถียร จึงต้องคายพลังงานออกมา
ซึ่งพลังงานที่คายออกมาจะอยู่ในรูปพลังงานแสงหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อผ่านปริซึมหรือสเปกโตรสโคปจะแยกแสงออกเป็นเส้นสเปกตรัม
การที่ธาตุแต่ละชนิดให้เส้นสเปกตรัมออกมาหลายเส้น
แสดงว่าอิเล็กตรอนที่อยู่รอบนิวเคลียสมีหลายระดับพลังงาน ระดับพลังงานที่อยู่ใกล้นิวเคลียสจะมีพลังงานต่ำ ส่วนระดับพลังงานที่อยู่ห่างนิวเคลียสจะมีพลังงานสูง
เมื่ออิเล็กตรอนคายพลังงานอาจคายพลังงานได้หลายช่วงความยาวคลื่น
จึงมองเห็นเส้นสเปกตรัมได้หลายเส้น
นักวิทยาศาสตร์ได้ศึกษาสเปกตรัมของแก๊ส โดยใช้อะตอมของไฮโดรเจนเป็นตัวอย่างในการแปลความหมายของเส้นสเปกตรัม
เพราะเป็นอะตอมที่มีอิเล็กตรอนเดียว
จากการทดลองหลายครั้งพบว่าอะตอมของไฮโดรเจนให้เส้นสเปกตรัมได้หลายเส้นที่มีลักษณะเหมือนกันทุกครั้ง
จึงสรุปได้ว่าอิเล็กตรอนในอะตอมของไฮโดรเจนขึ้นไปอยู่ในสถานะกระตุ้นที่มีพลังงานแตกต่างกันได้หลายระดับ
จากการศึกษาสเปกตรัมของธาตุไฮโดรเจน
สามารถนำมาสรุปได้ว่า
1. เมื่ออิเล็กตรอนได้รับพลังงานในปริมาณที่เหมาะสม
อิเล็กตรอนจะขึ้นไปอยู่ในระดับพลังงานที่สูงกว่าระดับพลังงานเดิม
แต่จะอยู่ในระดับใดขึ้นกับปริมาณพลังงานที่ได้รับ
การที่อิเล็กตรอนขึ้นไปอยู่ในระดับพลังงานใหม่ทำให้อะตอมไม่เสถียร
อิเล็กตรอนจะกลับมาอยู่ในระดับพลังงานที่ต่ำกว่า
ซึ่งในการเปลี่ยนตำแหน่งนี้อิเล็กตรอนจะคายพลังงานออกมาในรูปคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเกิดเป็นเส้นสเปกตรัม
2. การเปลี่ยนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปยังระดับพลังงานที่อยู่ติดกันอาจมีการเปลี่ยนข้ามระดับได้
แต่เมื่ออิเล็กตรอนรับพลังงานแล้วจะขึ้นไปอยู่ระหว่างระดับพลังงานไม่ได้
จะต้องขึ้นไปอยู่ในระดับใดระดับหนึ่งเสมอ
3. ผลต่างของพลังงานระหว่างระดับพลังงานต่ำจะมีค่ามากกว่าผลต่างของพลังงานระหว่างระดับพลังงานที่สูงขึ้นไป
นีลส์ โบร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวเดนมาร์ก ได้นำความรู้เรื่องสเปกตรัมมาสร้างแบบจำลองขึ้นใหม่
เพื่อใช้อธิบายลักษณะการเคลื่อนที่ของอิเล็กตรอนรอบนิวเคลียส โดยกล่าวว่า
|
แบบจำลองอะตอมของนีลส์ โบร์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น